เคสแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้
2 ประเภทตามชนิดของเคสคือ แบบ AT และ แบบ ATX เนื่องจากโดยปกติเมื่อซื้อเคสเปล่า
แหล่งจ่ายไฟ หรือ power supply จะติดมากับเคสด้วยขนาดของแหล่งจ่ายไฟในปัจจุบันจะมีขนาด
230 และ 250 วัตต์ และ 300 วัตต์ ถ้ามีอุปกรณ์ต่อพ่วง
ในคอมพิวเตอร์เยอะก็ควรเลือกวัตต์สูงไว้ก่อน เมื่อแหล่งจ่ายไฟติดอยู่กับเคส
ก็อาจจะเรียกรวม ๆ ไป เช่น เคส 300 วัตต์ ATX เป็นต้น
ข้อแตกต่างระหว่าง Case แบบ AT และ ATX และสิ่งที่จะสังเกตุได้จากภายนอกก็คือ
- มักจะใช้กับเครื่องรุ่นเก่า
ขนาดจะเล็กกว่า ATX
- บางเครื่องปุ่มสวิทย์เปิดปิด
จะค้างแสดงคุณสมบัติเปิด-ปิด
-
หลังจากปิดเครื่องจากคำสั่งในโปรแกรมแล้วต้องกดปุ่มปิดอีกครั้งที่หน้า Case ด้วย
- มักจะใช้กับเครื่องรุ่นใหม่ ๆ
- ปุ่มสวิทซ์เปิดปิดจะไม่ค้าง (
กดกี่ครั้งก็ไม่รู้ว่ากดไปหรือยังคือปุ่มจะเด้งกลับ )
-
ปิดเครื่องจากคำสั่งในโปรแกรมเท่านั้น
ภายในเคสจะมีช่องที่เรียกว่า เบย์ (bays) ซึ่งเป็นช่องที่ไว้สำหรับใส่ไดร์ฟต่าง ๆ เช่น CD-ROM, Floppy disk drive, tape drive คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมีเบย์ประมาณ
3-4 ช่องและช่องสำหรับ Floppy disk drive ประมาณ 1-2
ช่อง นอกจากนี้ภายในยังมีเบย์เรียกว่า เบย์ภายใน สำหรับใส่ฮาร์ดดิสก์อีกด้วย
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีแหล่งจ่ายไฟ
เพราะกระแสไฟตามบ้านจะจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับ 150 ถึง 120 โวลต์
ซึ่งไม่เหมาะกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องการไฟฟ้ากระแสตรง ประมาณ 5-12 โวลต์
คอมพิวเตอร์จึงต้องมีอุปกรณืที่เป็นตัวแปลงและจ่ายไฟเรียกว่า แหล่งจ่ายไฟ (power supply) ซึ่งจะมีพัดลมตัวเล็กๆ อยู่ใกล้เพื่อระบายความร้อน
ที่มาจากหน่วยประมวลผล และอุปกรณ์อื่น ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น