วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

การซ่อมคอมพิวเตอร์และการดูแลรักษา

 อาการเสียของคอมพิวเตอร์เบื้องต้นสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ คือ
1.ปัญหาจากซอฟแวร์ ส่วนใหญ่หากสามารถเปิดเครื่องขึ้นมาได้ ก็จะเป็นปัญหาของตัวซอฟแวร์เนื่องจากว่าซอฟแวร์เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ และเป็นส่วนที่มักจะเกิดปัญหามากที่สุด การแก้ไขทำได้ยากและปัญหามีหลายรูปแบบ ในส่วนนี้ก็ขอแยกปัญหาทางด้านซอฟแวร์ออกเป็น 2 ส่วน คือ ปัญหาจากตัวระบบปฏิบัติการหลักหรือพวก Windows และปัญหาที่เกิดจากโปรแกรมต่าง ๆ หรือตัวที่เรียกว่า Application program นั่นเอง
ปัญหาจากตัวระบบปฏิบัติการ (operating system) หรือ โอเอส (OS) ซึ่งเกิดจากโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างฮาร์ดแวร์ (Hardware) กับ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไปล่มหรือ Window เสีย ซึ่งทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้อีกทีโดยจะทำหน้าที่ควบคุมการแสดงผลการทำงานของฮาร์ดแวร์ให้บริการกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไปในการรับส่งและจัดเก็บข้อมูลกับฮาร์ดแวร์และจัดสรรการใช้ทรัพยากรระบบ (Resources) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาที่เกิดจากโปรแกรมต่าง ๆ หรือชุดคำสั่งไม่สมบูรณ์ ซึ่งปัญหานี้พบบ่อยมากในกรณีที่โปรแกรม Error หรือ copy ไฟล์มาไม่ครบทำให้ลงโปรแกรมไม่สำเร็จ ไม่สามารถใช้งานได้ ต้องตรวจสอบโปรแกรมใหม่หรือโหลดโปรแกรมตัวเต็มมา
2. ปัญหาจาก Window ถือเป็นส่วนที่รองรับโปรแกรมทุกอย่าง จึงเป็นตัวปัญหามากที่สุดโดยส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาที่กว้างและยากต่อการแก้ไข ให้ทำการตรวจสอบหรือเปิดเข้าไปดูที่ เปิดเข้าไปดูที่ Action Center (เฉพาะ Windows 7 เท่านั้น) หรือไม่ก็ลองตรวจสอบไดร์เวอร์ หรือลองอัพเดตดู ถ้าไม่สำเร็จจริง ๆ ให้แนะนำ Backup  ข้อมูลไว้แล้วทำการลง Window ใหม่ดู
3.ปัญหาจากโปรแกรมต่าง ๆ ภายในเครื่อง หลังจากที่แก้ปัญหาของ Windows ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็เห็นจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากโปรแกรมอื่น ๆ เองแล้ว ที่พบบ่อยมากที่สุดก็จะเป็นปัญหาโปรแกรม Error อันเนื่องมาจากโปรแกรมไม่สมบูรณ์ พบได้กับโปรแกรม copy ทั้งหลายวิธีแก้ไขนั้นลองติดตั้งใหม่ดูก่อน ถ้าไม่หายก็ต้องหาตัวติดตั้งใหม่
4.ปัญหาที่เกิดจากไดร์เวอร์ ตัวไดร์เวอร์ทำหน้าที่บอกคอมพิวเตอร์ว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้คืออะไรทำหน้าที่อะไร การเลือกใช้ตัวไดร์เวอร์ต้องดูตัว Windows ด้วย เช่น เราไม่สามารถใช้ไดร์เวอร์ของ Windows 98 บน Windows 2000 ได้เพราะอาจทำให้ Windows เกิดอาการเสียหายไม่สามารถใช้งานต่อไปได้หรือหากใช้ไดร์เวอร์ไม่ตรงกับรุ่นก็ไม่สามารถใช้งานอุปกรณ์นั้น ๆได้เช่นกัน



ดิสก์ไดร์ฟ (Disk Drive)


ดิสก์ไดร์ฟเป็นอุปกรณ์สำหรับอ่านและบันทึกข้อมูลจากแผ่นดิสก์เกต (Display Card) ดิสก์ไดร์ฟปัจจุบันมีขนาด 3.5 นิ้ว สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นดิสก์เกตขนาด 3.5 นิ้ว ด้านท้ายของไดร์ฟจะมีคอนเน็คเตอร์สำหรับต่อสายไฟจากเพาเวอร์ซัพพลายเข้าที่ตัวดิสก์ไดร์ฟ และคอนเน็คเตอร์สำหรับต่อสายแพ (สายรับส่งข้อมูล) เข้ากับคอนเน็คเตอร์FDD Connector

ประเภทของฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟ
       3.5”     สำหรับอ่านและบันทึกข้อมูลลงในแผ่นดิสก์ขนาด 3.5
       5.25”   สำหรับอ่านและบันทึกข้อมูลลงในแผ่นดิสก์ขนาด 5.25” External FDD สำหรับอ่านและบันทึกข้อมูลลงในแผ่นดิสก์ประเภทติดตั้งภายนอก เพื่อความสะดวกในการพกพา ส่วนมากจะใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทโน๊ตบุ๊ค

ส่วนประกอบของฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟ
       ส่วนประกอบต่าง ๆ ของฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟขนาด 3.5มีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้
       1.ช่องใส่แผ่นดิสก์และปุ่มกดเพื่อดันแผ่นดิสก์ออก
       2.ตำแหน่งสำหรับต่อสายแพรส่งข้อมูล ให้ตรวจดูว่าขาที่ 1 อยู่ด้านใด
       3.ตำแหน่งสำหรับต่อสายไฟ ฟล็อปปี้ดิสก์ไดร์ฟ


วิธีการซ่อมดิสก์ไดร์ฟ (Disk Drive)

                   ในส่วนของอุปกรณ์ตัวนี้อาการเสียจะไม่ค่อยเจอจะเสียยากมาก ถ้าไม่เจออาการลัดวงจรของไฟฟ้า ก็แทบจะใช้งานได้ตลอด จะมีอาการเสียก็มักจะเสียหลังจาก 1 ปีที่ใช้งาน ถ้ามีอาการเสียหลังจาก 1 ปี ที่ใช้งาน ก็แนะนำให้ซื้อใหม่จะดีกว่านำไปซ่อม แต่ถ้าอุปกรณ์ตัวนี้ยังอยู่ในการรับประกันก็ขอแนะนำให้ส่งเคลมกับศูนย์บริการนั้น ๆ

วิธีการดูแลรักษาดิสก์ไดร์ฟ (Disk Drive)

             แผ่นดิสก์มีความละเอียดมาก จึงควรมีการดูแลรักษาอยู่เสมอ เพราะ ถ้าแผ่นดิสก์ชำรุดหรือมีความสกปรกจะส่งผลกระทบต่อข้อมูล ที่บันทึกไว้หรือกำลังจะบันทึกใหม่และที่สำคัญคือจะสร้างความเสียหายให้แก่หัวอ่านดิสก์ด้วยผู้ใช้คอมพิวเตอร์ จึงควรระมัดระวังดูแลเอาใจใส่ โดยควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
ระมัดระวังอย่าให้มือไปถูกบริเวณที่เป็นแม่เหล็กของแผ่นดิสก์ เพราะไขมันบริเวณผิวหนังของเรา จะทำให้เกิดความสกปรกต่อบริเวณที่บันทึกข้อมูล
อย่าใช้แรงกดปากกาเกินไป ขณะเขียนที่แผ่นป้ายชื่อของแผ่นดิสก์
อย่าให้แผ่นดิสก์อยู่ใกล้ บริเวณที่มีคลื่นแม่เหล็กมาก ๆ เช่นเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นบน MONITO หรือเครื่องโทรศัพท์แบบหมุน
อย่าบิดหรืองอแผ่นดิสก์เล่นเป็นอันขาด
อย่าให้แผ่นดิสก์มีรอยขูดขีด หรือถูกของเหลวเช่นน้ำ ดังนั้นเมื่อใช้แผ่นดิสก์เสร็จแล้วพยายาม เก็บไว้ในซองบรรจุให้เรียบร้อย
ควรเก็บแผ่นดิสก์ไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม อย่าทิ้งไว้หน้ารถให้ตากแดดนาน ๆ

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

Keyboard (คีย์บอร์ด)

เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นปุ่มตัวอักษรเหมือนปุ่มเครื่องพิมพ์ดีด เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง จะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยน เป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษร ตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ ประเภทของ Keyboard ดูได้จากจำนวนปุ่ม และรูปแบบการใช้งาน Key board ที่มีอยู่ปัจจุบันจะมีอยู่ 5 แบบ
  
1.  Desktop Keyboard ซึ่ง Keyboard มาตรฐาน จะเป็นชนิด 101 คีย์


2.  Desktop Keyboard with hot keys เป็น Keyboard ที่มีจำนวนคีย์มากกว่า 101 คีย์ ขึ้นไปแล้วแต่วัตถุประสงค์ใช้งาน ซึ่งจะมีปุ่มพิเศษ สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งแต่เวอร์ชัน 95 เป็นต้นไป


3.    Wireless Keyboard ไร้สายเป็น Keyboard ที่ทำงานโดยไม่ต้องต่อสายเข้ากับตัวเครื่องคอมพิวเตอร์แต่จะมีอุปกรณ์ ที่รับสัญญาณจากตัว Keyboard อีกทีหนึ่ง การทำงานจะใช้ความถี่วิทยุในการสื่อสาร ซึ่งความถี่ที่ใช้จะอยู่ที่ 27 MHz อุปกรณ์ชนิด นี้มักจะมาคู่กับอุปกรณ์ Mouse ด้วย


4. Security Keyboard  รูปร่างและรูปแบบการทำงานจะเหมือนกับ Keyboard แบบ Desktop แต่จะมีช่องสำหรับเสียบ Smart Card เพื่อป้องกันการใช้งานจากผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ Keyboard ชนิดนี้เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ ปลอดภัยสูง หรือใช้ควบคุมเครื่อง Server ที่ยอมให้เฉพาะ Admin เท่านั้นเป็นคนเปลี่ยนแปลงข้อมูล


5. Notebook Keyboard เป็น Keyboard ที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดบางเบา ขนาดความกว้าง และยาวจะขึ้นอยู่กับเครื่อง Notebook ที่ใช้ปุ่มบนแป้นพิมพ์จะอยู่ติดกันและบางมาก คีย์พิเศษต่างจะถูกลด และเพิ่มเฉพาะปุ่มที่จำ เป็นในการ Present งาน หรือ การพักเครื่องเพื่อประหยัดพลังงาน


วิธีการซ่อมKeyboard (คีย์บอร์ด)
โดยปกติแล้วคีย์บอร์ดจะเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยมีปัญหาเวลาใช้งานมากนัก แต่ถ้าใช้งานไปเป็นเวลานานก็อาจจะเกิดเป็นปัญหาขึ้นได้เหมือนกัน เช่น ปุ่มคีย์บอร์ดแข็ง กดแป้นพิมพ์ไม่ค่อยได้ บางทีกดปุ่มใช้งานคีย์บอร์ดไม่ได้เลยทั้งที่ซื้อมาใหม่ ปัญหาเหล่านี้ บางคนก็แก้ด้วยวิธีการซื้อมาเปลี่ยนใหม่เพราะราคาถูกทั้ง ๆ ที่เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ง่ายนิดเดียว ซึ่งมักเกิดกับคีย์บอร์ดมีดังนี้
-คีย์บอร์ดแข็ง บางปุ่มกดไม่ลง คีย์บอร์ดเป็นอุปกรณ์ที่เราต้องทำงานด้วยมากที่สุดพอกับใช้เมาส์ โดยเมื่อใช้ไปนาน ๆ เข้าก็จะมีฝุ่นผงคราบสกปรกเข้าไปเกาะติดอยู่ พอสะสมมากเข้าจะเป็นเหตุให้ปุ่มบนคีย์บอร์ดแข็ง กดไม่ค่อยลงเกิดปัญหาเวลาใช้งานคีย์บอร์ด เช่น พิมพ์งานเอกสารหรือโปรแกรมสเปรดชีตต่าง ๆ สำหรับวิธีแก้ไขคือ ให้ใช้แปรงปัดฝุ่นและคราบสกปรกตามซอกปุ่มต่าง ๆ บนตัวคีย์บอร์ดแต่ถ้าปุ่มแข็งมากให้ใช้วิธีถอดปุ่มมาทำความสะอาดดังนี้
1. ให้ใช้แปรงขนอ่อนขนาด 1 นิ้ว มาปัดฝุ่นตามซอกปุ่มจนเห็นว่าสะอาดดีแล้วให้ลองกดปุ่มดุด้วยว่ากดได้ง่ายขึ้นหรือไม่
2. หากยังไม่หาย มีปุ่มกดบางปุ่มยังแข็งอยู่กดปุ่มไม่ค่อยได้ ก็ให้ใช้ไขควงปากแบนค่อย ๆ งัดปุ่มออกมาทีละปุ่ม เพื่อให้มีพื้นที่ว่างมากขึ้นและใช้แปรงขนอ่อนปัดฝุ่นผงที่เกาะติดอยู่ตามซอกต่าง ๆ จนหมด หลังจากนั้นให้ใส่ปุ่มกลับเข้าที่เดิม ( แกะและทำความสะอาดทีละปุ่มจะได้ไม่งงเวลาที่ใส่กลับที่เดิม )
-เครื่องแจ้งว่า " KEYBOARD ERROR NO KEYBOARD PRESENT " เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาทำงาน บางครั้งจะพบกับข้อความหน้าจอไบออสแจ้งว่า " KEYBOARD ERROR NO KEYBOARD PRESENT "หมายถึง ตรวจไม่พบคีย์บอร์ดที่ติดตั้งอยู่ สาเหตุอาจเป็นเพราะคีย์บอร์ดและเมาส์ มีลักษณะเป็นขั้วต่อแบบ PS/2 เหมือนกัน ดังนั้นจึงอาจเสียบผิดก็ได้ การแก้ไขให้ตรวจสอบการเสียบบอร์ดที่ท้ายเคสว่าถูกต้องหรือไม่ ซึ่งขั้วต่อคีย์บอร์ดจะมีสีม่วง ส่วนขั้วต่อของเมาส์จะมีสีเขียว ให้ถอดออกมาเสียบให้ถูกต้อง หากยังมีข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่อีกแสดงว่าคีย์บอร์ดเสีย ให้หาซื้อมาเปลี่ยนใหม่ในราคาตัวละ 150-300 บาท
-เครื่องแจ้งว่า " KEYBOARD CONTROLLER FAILURE "  อาการดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากคีย์บอร์ดเสีย ให้ลองหาคีย์บอร์ดอื่นมาลองติดตั้งใช้งานแทน หากพบว่าคีย์บอร์ดเสียจริงให้หาซื้อมาเปลี่ยนใหม่ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งมักเกิดจากชิปคอนโทรลคีย์บอร์ดที่อยู่บนเมนบอร์ดเสีย หรือลายวงจรควบคุมคีย์บอร์ดแตกหรือหลุดเนื่องจากการถอดเข้า-ออกขั้วต่อคีย์บอร์ดบ่อยเกินไป เมื่อคีย์บอร์ดใช้งานไม่ได้ ผู้ใช้หลายคนจำเป็นต้องให้ช่างหาซื้อเมนบอร์ดมาเปลี่ยนใหม่ เนื่องจากการซ่อมเมนบอร์ดค่อนข้างยากจะร้านรับซ่อมไม่ค่อยได้
 วิธีการดูแลรักษาKeyboard (คีย์บอร์ด)
คีย์บอร์ดนั้นก็เป็นแหล่งเพราะเชื้อโรคไม่แพ้เมาส์เช่นกัน  เพราะว่าเราจับอะไรแล้วไม่ล้างมือก็มาพิมพ์มันล่ะก็เลยหรือเรารับประทานขนนก็ตกลงไปในร่องคีย์ทำให้หมดขึ้นไปอีกมดก็ขึ้นทำให้เป็นแหล่งสะสมต่าง ๆ วิธีทำความสะอาดก็สามารถที่จะทำได้โดยนำคีย์บอร์ดนั้นคว่ำลง  แล้วเคาะด้านหลังเพื่อที่จะให้เศษฝุ่นนั้นออกมา  ถ้าจะให้ดีสมควรที่จะหาเครื่องเป่าลมนั่นมาเป่าออก  หรืออาจจะเป็นสเปรย์ลมที่เป็นกระป๋อง  แล้วก็ฉีดตามซอกตามคีย์บอร์ดแล้วควรเลือกสเปรย์กระป๋องที่สามารถใช้ได้กลับทองแดงได้ ถ้าเกิดว่าไม่สามารถที่จะนำเศษออกมาหมดได้ ก็สามารถที่จะแกะปุ่มทีละปุ่มแล้วก็นำมาทำความสะอาดด้วยการนำสำลีชุบแอลกฮอล์มาเช็ดของแต่ละปุ่ม  แต่ก็ต้องวางตำแหน่งให้ถูกด้วย เวลาใส่กลับคืนจะได้พิมพ์ถูก ส่วนคนที่ใช้โน้ตบุ๊กนั้นก็เกะมาไม่ได้ก็ค่อย ๆ  ที่จะเช็ดตามซอกอย่าระมัดระวัง  ไม่ควรที่จะชุบน้ำมาเช็ดหรือถ้าใครที่จะหลีกเลี่ยงจากสิ่งสกปรกต่างก็สามารถที่จะหาซิลิโคนมาใส่เอาไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเราอาจตั้งเปลี่ยนคีย์บอร์ดใหม่ต้องเสียตังค์ไป

เมาส์ (Mouse)

อุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการใช้งานในคอมพิวเตอร์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งออกแบบเพื่อให้พอดีกับการใช้งานโดยส่วนโค้งและส่วนเว้าโค้งเข้าตามกับอุ้งมือของผู้ใช้ โดยภายด้านใต้ของเมาส์จะมีอุปกรณ์ซึ่งตรวจจับการเคลื่อนไหวของเมาส์ โดยส่งสัญญาณไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของเคอร์เซอร์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

1.แบบทางกล (Mechanical)


เมาส์จะมีล้อยางเป็นลูกกลิ้งอยู่ด้านล่าง เมื่อผู้ใช้เมาส์เลื่อนเมาส์ไปบนแผ่นรองเมาส์ (Mouse pad) หรือพื้นโต๊ะ จะทำให้ลูกกลิ้งด้านล่างหมุนและทำให้แกนภายในของเมาส์หมุน ก็จะส่งสัญญาณเป็นพิกัดในการเลื่อนตำแหน่งชี้ (Mouse Pointer) ของเมาส์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการบนจอภาพเมื่อต้องการเลือกส่งต่าง ๆ บนจอภาพ ทำได้โดยการกดปุ่มซ้ายหรือขวา 1 ครั้ง (Click) หรือ 2 ครั้ง (Double Click) การทำงานของเมาส์นี้จะต้องควบคุมด้วยโปรแกรมที่เรียกว่า Mouse Driver

2.แบบใช้แสง (Optical mouse)


เกิดจากการใช้แสงเลเซอร์หรืออินฟราเรดจากหลอดไฟสองหลอดส่องบนแผ่นรองพิเศษ เมื่อลำแสงสะท้อนกลับขึ้นไปเครื่องรับจะตรวจสอบว่า เมาส์เคลื่อนไปยังทิศทางใด เป็น Mouse ชนิดใช้แสงซึ่งปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิต Mouse ชนิดนี้ได้เพิ่มให้มีความสวยงามต่าง ๆ กันไป เช่น ใส่แสงให้กับ wheel หรือไม่ก็ออกแบบ ให้มีแสงสว่างทั้งตัว Mouse แต่หน้าที่การทำงานก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจาก Ball Mouse เมาส์ชนิดนี้จะมีราคาสูงกว่า เมาส์แบบทางกลแต่ ช่วยลดปัญหาเรื่องฝุ่น ติดที่ลูกกลิ้งภายในเมาส์ลูกกลิ้งแบบทางกล

3.แบบไร้สาย (Wireless Mouse)


เป็น Mouse ที่มีการทำงานเหมือน Mouse ทั่วไปเพียงแต่ไม่มีการใช้สายไฟต่อออกมาจากตัว Mouse ซึ่ง Mouse ชนิดนี้จะมีตัวรับและตัวส่งสัญญาณซึ่งทางด้านตัวรับสัญญาณอาจจะเป็นหัวต่อแบบ PS/2 หรือ แบบ USB ที่เรียกว่า Thumb USB receiver ซึ่งใช้ความถี่วิทยุอยู่ที่ 27MHz และปัจจุบันใช้แบบ Nano receiver ซึ่งใช้ความถี่วิทยุที่ 2.4 GHz 

วิธีการซ่อมเมาส์ (Mouse)

-เลื่อนเมาส์ไม่ค่อยได้
ปัญหายอดฮิตของการใช้เมาส์ แต่เนื่องจากเมาส์มีราคาถูกเพียงตัวละ 80-200 บาทเท่านั้น ผู้ใช้ส่วนใหญ่จึงไม่ใส่ใจต่อปัญหานี้และคิดในใจว่าเป็นเพราะเมาส์ราคาถูกจึงเสียง่ายความจริงแล้วเมาส์ไม่ได้เสียง่ายขนาดนั้นแต่เป็นเพราะเมาส์มีส่วนที่ต้องเคลื่อนไหวมาก โดยการเลื่อนลูกบอลยางไปกับพื้นหรือแผ่นรองเมาส์ จึงมักดูดเอาฝุ่นผงสกปรกต่าง ๆ เข้ากับติดอยู่กับแกนหมุน ทำให้แกนหมุนไม่ทำงานจึงไม่สามารถที่จะตรวจจับตำแหน่งที่เมาส์เคลื่อนที่ไปได้
สำหรับวิธีการแก้ไขก็คือ ให้ถอดเมาส์ออกมาทำความสะอาดเอาฝุ่นผงออกไปจากลูกบอลยางและแกนหมุนเท่านั้นเมาส์ก็จะใช้ได้ต่อไป โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. เปิดฝาครอบลูกบอลออก โดยหมุนบิดไปตามทิศทางของลูกศรที่แสดงบนฝาครอบ ใช้นำยาสเปรย์ฉีดทำความสะอาดลูกบอลและเช็ดให้แห้ง
2. ใช้นำยาสเปรย์ฉีดล้อหมุนแกนหมุนแนวตั้งและแกนหมุนแนวนอน และใช้ไม้สำลีเช็ดจนไม่มีฝุ่นผงติดอยู่ที่แกนหมุนทั้งสาม
3. เมื่อเห็นว่าแกนหมุนทั้งหมดสะอาดดีแล้ว ให้ใส่ลูกบอลพร้อมปิดฝาครอบกลับเข้าที่เดิม ซึ่งเมาส์ก็จะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
- คลิกเมาส์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
ภายในเมาส์จะมีสวิทช์ชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กซึ่งเรียกว่า ไมโครสวิทช์สำหรับรับคำสั่งจากการคลิกเมาส์ เมื่อใช้เมาส์ไปนาน ๆ ก็จะมีเศษฝุ่นเข้าไปเกาะติดหน้าสัมผัสของวงจรภายในไมโครสวิทช์ ทำให้เกิดอาการคลิกเมาส์ไม่ค่อยได้จึงมีวิธีการแก้ไขดังนี้คือ
1. หงายท้องเมาส์ พร้อมกับใช้ไขควงคลายน็อตที่ยึดเมาส์ออกให้หมด
2. เปิดฝาครอบตัวเมาส์ออกมาแล้วจึงใช้นำยาสเปรย์ฉีดพ่นทำความสะอาดไมโครสวิทช์หลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้นำยาสเปรย์ ได้แทรกเข้าไปละลายสิ่งสกปรกบนหน้าสัมผัสภายในสวิทช์ จนกว่าจะกดสวิทช์ได้อย่างสะดวก ซึ่งคงทำให้อาการดังกล่าวหายได้

วิธีการดูแลรักษาเมาส์ (Mouse)
เมาส์เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่มีความสกปรกมากเพราะเวลาที่เราใช้นั้นไม่รู้ว่าเราจับอะไรต่อมิอะไรมา  ทำให้เชื่อโรคสะสมอยู่ โดยเฉพาะเมาส์ที่เป็นลูกกลิ้งนั้น  ลูกกลิ้งจะสัมผัสกับบริเวณโต๊ะหรือว่าแผ่นรองเมาส์จนทำให้เกิดฝุ่นสะสม แล้วทำให้ไม่สามารถที่จะเลื่อนได้อย่างปกติได้  วิธีการทำความสะอาดนั้นก็นำเอาฝาที่ครอบลูกกลิ้งออก  โดยการหมุนตามลูกศรที่ระบุไว้  นำผ้ามาเช็คที่ลูกกลิ่งแล้วด้านในให้สะอาดถ้าใช้แอลกฮอล์ได้ยิ่งดี  จะได้ฆ่าเชื้อโรคไปด้วย
ส่วนบริเวณอื่น ๆ นั้นให้ใช้สำลีชุบแอลกฮอล์มาเช็ดทำความสะอาด  แต่ในกรณีที่วัสดุของเมาส์ที่เป็นหนัง  ก็ใช้ผ้าซุบหมาด ๆ เช็ดก็พอและบริเวณตรงบริเวณที่ส่องแสงเพื่อใช้จับตำแหน่งเมาส์นั้นให้ใช้สำลีก้านแห้ง ๆ ไม่ควรที่จะซุบน้ำ  แอลกอออล์ หรือสารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้น ค่อยเช็ดอย่างระมัดระวัง  แล้วควรที่จะล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะไปจับมันด้วย
การเลือกแผ่นลองเมาส์ก็มีส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพด้วย โดยเฉพาะคนที่ใช้แบบลูกกลิ้ง  ควรเลือกแผ่นรองที่ผลิตจากพลาสติกสังเคราะห์  จะช่วยให้การทำงานนั้นราบรื่น  แต่ถ้าใช้แบบเลเซอร์หรือออฟติคอลนั้น  ควรใช้แผ่นรองเมาส์ที่ไม่มีลวดลายและควรมีผิวที่เรียบ  เพื่อประสิทธิภาพในการสะท้อนและการหักเหของแสงด้วย